วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2561

โครงงานIS1 : โรตีกล้วยหอมฉบับเด็กหอ ไม่ง้ออาบัง


..โรตีกล้วยหอมฉบับเด็กหอ ไม่ง้ออาบัง..



1. ชื่อโครงงาน : โรตีกล้วยหอมฉบับเด็กหอ ไม่ง้ออาบัง
2.ผู้จัดทำ : นางสาว รัตน์ศิรินทร์ ภิรมย์ฤทธิ์ ชั้นม.4/8  เลขที่32
3. อาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน : อาจารย์ เกรียงไกร  ทองชื่นจิต
4. ขอบเขตของการทำโครงงาน/ ระยะเวลา  :  เดือนสิงหาคม - กันยายน
5. วัตถุประสงค์ของโครงงาน : 
          - เพื่อเป็นการดัดแปลงการทำโรตีกล้วยหอมให้ง่ายมากขึ้น
          - เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของบุคคลที่อยากรับประทานโรตีกล้วยหอมแต่หาซื้อทานได้ยาก
          - เพื่อเป็นการสะดวก และรวดเร็วในการทำ อีกทั้งยังหาซื้อวัตถุดิบได้ง่าย และราคาไม่แพง




บทคัดย่อ
     ในปัจจุบันนี้ โรตี เป็นขนมที่หากินได้ยากกว่าเมื่อก่อนการที่จะหาโรตีที่ทำมาจากต้นตำรับแท้ๆนั้นมีน้อย เพราะโดยส่วนมากแล้วบุคคลที่ขายโรตีหรืออาบังที่เรารู้จักกันนั้นเข้ามาค้าขายในประเทศได้น้อยลงเนื่องจากกฏหมายต่างๆจึงทำให้ขนมโรตีที่เป็นสิ่งที่หลายคนชื่นชอบกำลังค่อยๆหายไปทีละน้อย

ดังนั้นทางผู้จัดทำจึงมีการพัฒนาสูตรและวิธีการทำโรตีกล้วยหอมฉบับเด็กหอ ไม่ง้ออาบัง เพื่อตอบสนองความต้องการของใครหลายๆคนรวมไปถึงผู้ที่สนใจ เนื่องจากใช้อุปกรณ์และวัตถุดิบที่หาได้ง่าย  และหวังว่าโครงงานชิ้นนี้จะเป็นประโยชน์แก่บุคคลที่สนใจ และทุกคนๆ




กิตติกรรมประกาศ

     โครงงานเรื่องโรตีกล้วยหอมฉบับเด็กหอ ไม่ง้ออาบัง จะสำเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาของอาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน อาจารย์ เกรียงไกร ทองชื่นจิต ที่ได้ให้คำปรึกษา แนะนำ ชี้แนะในการศึกษาค้นคว้า แนะนำขั้นตอนและวิธีจัดทำโครงงานจนสำเร็จลุล่วงด้วยดี  ทางผู้จัดทำจึงขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้
     ขอกราบขอบพระคุณ บิดา มารดา ที่ให้ความอนุเคราะห์ด้านการให้คำปรึกษา อำนวยงบประมาณ  ด้านอุปกรณ์ และวัตถุดิบในการใช้ทำโครงงานชิ้นนี้ ตลอดจนได้ให้คำปรึกษาแนะนำการจัดทำโครงงานจนประสบผลสำเร็จ
     ขอกราบขอบพระคุณ บิดา มารดา ที่ให้กำลังใจในการศึกษาเล่าเรียน และสมาชิกในกลุ่มที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการทำโครงงานครั้งนี้จนกระทั่งประสบความสำเร็จด้วยดี 




บทที่1

  • วัสดุ อุปกรณ์

1.กล้วยหอม
2. ขนมปังตัดขอบ
3. นำ้มันสำหรับการทอด
4.ไข่ไก่
5.นำ้ผึ้ง หรือนมข้นหวาน แล้วแต่ความชอบ 
6. ไม้นวดแป้ง หากไม่มีสามารถใช้ขวดโหลแทนได้
7. เขียงสะอาด สำหรับรองขนมปัง
8. มีด


  • ขั้นตอนการดำเนินงาน

1. คลึงขนมปังให้แบนเรียบ หากไม่มีไม้นวดแป้งให้ใช้ขวดโหลเรียบๆก็ได้ พยายามคลึงให้แผ่นใหญ่ๆ



2. หั่นกล้วยเป็นแว่นๆไม่บางหรือหนาจนเกินไป จากนั้นนำมาเรียงในแผ่นขนมปังที่คลึงไว้ก่อนนหน้านี้ตามรูป

3. พับขนมปังเข้าหากัน




4. จากนั้นให้ใช้สันมีดกดทับบนขอบๆขนมปังจนขนมปังปิดกันจนสนิท ควรระวังอย่าใช้แรงกดมากจนเกินไปอาจจะทำให้ขนมปังขาด และอย่าเบาจนเกินไปเพราะจะทำให้ขนมปังหลุดออกจากกัน





5. ตอกไข่ใสชามแล้วตีให้ไข่แดงกับไข่ขาวเข้ากัน

6. นำขนมปังมาชุบกับไข่ที่ตีไว้

7. ตั้งกระทะไฟปานกลาง ไม่ควรไฟแรงเกินไปเพราะจะทำให้ขนมปังและตัวไข่ที่เคลือบนั้นไหม้ และทำให้โรตีไม่อร่อย




8. ทอดให้ขนมปังสุกทั่วทั้งแผ่นและเป็นสีเหลืองกรอบ


 9. หลังจากที่ทอดจนเหลืองกรอบแล้วให้นำออกจากกระทะ 

  


10. จัดลงจานและหั่นเป็นชิ้นๆให้สวยงาม
11. ราดนำ้ผึ้งหรือ นมข้นหวานก็ได้  แล้วแต่ความชอบ

  



  • สรุปผลการดำเนินงาน

     โครงงาน โรตีกล้วยหอมฉบับเด็กหอ ไม่ง้ออาบัง นี้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้เพื่อให้ความรู้และการชี้แนะแนวทางแก่ผู้ที่สนใจ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับ การทำโรตีแบบง่ายๆ ที่การจัดหาวัสดุอุปกรณ์ และวัตถุดิบหาได้ง่าย และสามารถทำได้สะดวก รวดเร็ว ง่าย และมีรสชาติถูกปาก ซึ่งผู้สนใจสามารถศึกษาได้ด้วยตัวเองไปตามความสามารถของตน จนเกิดความเข้าใจ และเป็นการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ และเกิดคุณค่า
  • ข้อเสนอแนะ

ควรระบุวัตถุดิบและปริมาณที่ต้องใช้ต่อจำนวนผู้รับประทานให้ชัดเจน ควรมีการจัดทำเนื้อหาให้มีรายละเอียดมากกว่านี้ และควรมีวิดิโอตัวอย่างการทำเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
  • อ้างอิง
https://www.webtoons.com/th/tiptoon/lazy-cooking/ep-2-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%99-/viewer?title_no=646&episode_no=2

สามารถค้นหาได้ที่ WEBTOON  
เรื่อง ครัวง่ายๆสไตล์เด็กหอ 
ของผู้เขียน ซิบบิล 
ในตอนที่2 : ของที่อยากกิน














วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2561

ประเทศญี่ปุ่น : ผีญี่ปุ่นสุดหลอน!!

ผีญี่ปุ่นสุดหลอน!!

     เรื่องเล่าเกี่ยวกับผีมีอยู่ในทุกๆ วัฒนธรรมทั่วโลก แต่ในญี่ปุ่นนั้นเป็นที่สิงสถิตของผี มากมาย ทั้งยังเป็นผีที่ร้ายกาจ น่ากลัวกว่าที่ไหนๆ วิญญาณเหล่านี้เวียนว่าย อยู่ด้วยแรงอาฆาตพยาบาท หมายจะแก้แค้นคนที่เคยมาทำร้าย ให้ได้รับความทุกข์ ทรมานจนกว่าชีวิตจะหาไม่… ความเชื่อเรื่องผีในญี่ปุ่น มีรากฐานมาจากลัทธิชินโต ซึ่งบอกว่าวิญญาณของมนุษย์ จะต้องไปอยู่ในโลกหนึ่งชั่วนิรันดร์ แต่ระหว่างโลกนี้กับโลกหน้านั้น ยังมีอีกโลกหนึ่งกั้นกลาง ซึ่งวิญญาณสามารถ ย้อนกลับมาหาคนเป็นได้

1. Kamai-tachi... ฟันแล้วไม่ทิ้ง
คาไมทาจิ เป็นภูติลมตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น เคลื่อนไหวรวดเร็วเหมือนลม ตามตำนานเล่าว่า 
คามัยทาจิอาศัยอยู่บนภูเขา มีอยู่ด้วยกัน 3 ตัว จะทำอันตราย เมื่อมีนักเดินทางผ่านมาจะเจอกับลมพายุหมุน โดยตัวแรกจะชนเหยื่อในล้ม ตามด้วยตัวที่สองฟันเหยื่อให้เป็นแผล ส่วนตัวสุดท้ายจะทายาแก้ปวดให้กับเหยื่อ แต่ยังไม่จบแค่นั้น คาไมทาจิ มีนิสัยรักการต่อสู้ ซึ่งไม่ไม่รู้ว่าไปรักตั้งแต่ตอนไหน คาไมทาจิฟันแล้วไม่ทิ้งอย่างแน่นอน แต่จะทายาและฟันซ้ำไปซ้ำมาจนกว่าจะพอใจ นิสัยอย่างนี้แม้แต่ผีด้วยกันเองยังขยาดเล้ย !




2. Nekomata...แมวปีศาจ
เนโกะมาตะ ตามตำนานเล่าว่า เมื่อแมวบางตัวมีอายุมากจะมีตบะที่สูงขึ้นด้วย และมันจะกลายเป็นแมวผี  ที่เรียกว่า “บะเกะเนะโกะ” หากหางมันแยกออกเป็น 2 หางเมื่อไหร่ เมื่อนั้นมันจะสามารถอัพเกรดตัวเองกลายเป็น “เนะโกะมะตะ” ถือเป็นขั้นสุดของแมวปีศาจ สามารถขยายตัวเองได้ถึง 1 เมตร และเปลี่ยนสัญชาติตัวเองด้วยการเดินขาหลัง 2 ขา นอกจากนั้นยังเป็นแมวผีที่ไม่ยอมให้ใครมาดูถูก ถ้าใครทำไม่ดีกับมันพึงระลึกไว้ว่ามันไม่มีทางลืมอย่างแน่นอน นอกจากนั้นยังเชื่อกันว่า การเต้นรำของเนะโกะมะตะสามารถควบคุมคนตายได้ และยังเชื่ออีกว่าเนะโกะมะตะเป็นสาเหตุของเพลิงไหม้ที่ผิดปกติ จึงมีความเชื่อบางอย่างที่จะตัดหางของแมวออก เพื่อป้องกันไม่ให้มันกลายเป็นเนะโกะมะตะ เรื่องเล่าของเนโกะมาตะนั้น แตกต่างไปตามแต่ละพื้นที่ บ้างก็ว่าห้ามทิ้งแมวไว้กับศพ เพราะมันจะปลุกศพคนตายให้ฟื้นคืนชีพ บ้างก็ว่าเนโกะมาตะจะกินคนที่เป็นเจ้านายของมัน และมีบางตำนานที่เล่าว่าในตอนกลางคืน เนโกะมาตะ     จะแปลงกายเป็นสาวงามเพื่อปรนนิบัติเจ้านายที่มันหลงรักอีกด้วย ความสามรถขั้นเทพจริงๆ !



3.Rokurokubi...สาวคอยาว
โรคุโรคุบิ ตำนานเกี่ยวกับมนุษย์ ที่โดนคำสาปจากไหนก็ไม่รู้อีกแล้ว โดยตอนกลางวันเป็นคนปกติธรรมดาเหมือนเราๆนี่แหละ แต่พอตกกลางคืนคอของเธอก็จะยืดยาวออกมา ส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้หญิงเนื้อเรื่องแอบคล้ายกระสือของพี่ไทยอยู่หน่อยๆ ต่างกันตรงที่ความสามารถพิเศษเท่านั้นเอง เพราะโรคุโรคุบินั้น     จะยืดแค่คอ หัวและตัวนั้นลอยออกไปพร้อมกัน ไม่ได้ถอดหัวทิ้งร่างไว้แต่อย่างใด และจะดูดพลังวิญญาณของคนและสัตว์ไปเป็นอาหาร

แต่ที่ชื่นชอบมากเป็นพิเศษคือพลังชีวิตของชายหนุ่ม เธอมักจะแฝงตัวและปิดบังตัวเอง แต่ปิดยังไง๊ ยังไงก็ไม่อยู่ จึงต้องแสดงตัวตนออกมา แต่เฉพาะกับพวกขี้เมา และผู้ชายงี่เงาเท่านั้น เหตุก็เพราะว่า เธอกลัวชายหนุ่มที่สนใจผิดหวังในคอยาวๆของเธอน่ะสิ ถึ'จะคอยาวแต่เธอก็ยังเป็นหญิงสาวว่างั้น




4. Hanako-san...วิญญาณในห้องน้ำ
ฮานาโกะซัง ตำนานเมืองสมัยใหม่ที่นิยมมากในญี่ปุ่น โดยเฉพาะเด็กนักเรียน ที่จะใช้ตำนานนี้ในการวัดความกล้าสำหรับบรรดาน้องใหม่ทั้งหลาย ฮานาโกะซัง คือ เด็กผู้หญิงในชุดเอี๊ยมกระโปรงแดง ตัดผมสั้นทรงกะลา ถ้านึกไม่ออกให้นึกถึงหนูหิ่นอินเตอร์ของบ้านเราไว้ นั่นแหละคือฮานาโกะซัง วันหนึ่งตอนพักกลางวันเธอแอบเข้าไปในห้องน้ำแล้วออกมาไม่ได้
เด็กสาวจึงต้องเอาตัวรอดด้วยการจับแมลงและกินน้ำที่อยู่ในห้องน้ำนั้นเพื่อประทังชีวิตแต่น่าเสียดายที่แมลงในห้องน้ำนั้นไม่สามารถทำให้เธอรอดชีวิตได้ เธอจึงกลายเป็นวิญญาณที่ถูกขังอยู่ในห้องน้ำนับแต่นั้นมา การที่จะพบฮานาโกะซังได้นั้นจะต้องเคาะประตู 3 ครั้ง ในห้องน้ำห้องที่ 3 ชั้นที่ 4 ของโรงเรียน บ้างก็ว่าห้องสุดท้ายทางขวามือ แล้วถามว่า “ฮานาโกะซัง เธออยู่ในนั้นไหม” ไม่ก็ “ฮานาโกะซัง มาเล่นกันเถอะ” ถ้าเธอตอบ “ฉันอยู่นี่” หรือ “ค่ะ...” หลังจากนั้นก็แล้วแต่แล้วล่ะ ว่าจะวิ่ง หรือจะเล่น









5. Camelia...ดอกไม้สีเลือด
คาเมเลีย เป็นดอกไม้ในตระกูลชา ดอกเป็นสีขาวและชมพู แต่บางครั้งพบสีแดงคล้ายเลือด ซึ่งมีความหมายว่า ความโศกเสร้าอันน่าสลด ตำนานคาเมเลียเป็นที่กล่าวขวัญกันในโรงเรียนประถมของญี่ปุ่น เพราะนิยมปลูกเจ้าคาเมเลียไว้ประดับโรงเรียน เมื่อพอถึงฤดูใบไม้ร่วงดอกของต้นคาเมเลียก็จะหล่นเกลื่อนกลาดเต็มพื้นทางเดินของโรงเรียน ถ้าเกิดมันเป็นสีแดง คงคล้ายกับว่าพื้นนั้นถูกย้อมไปด้วยเลือด ตำนานอาถารรพ์ของต้นคาเมเลีย เริ่มในสมัยโบราณของญี่ปุ่นที่ยังคงมีระบบศักดินา มีเจ้าหญิงไร้นามผู้หนีภัยทางการเมือง แต่โดนฝ่ายตรงข้ามจับได้ซะก่อน เธอจึงกลายเป็นเชลยสงครามและถูกจับมัดไว้กับต้น คาเมเลีย จากนั้นถูกทรมานสารพัดเพื่อบังคับให้เปิดเผยข้อมูลของราชสำนัก ส่วนเจ้าหญิงเองก็เป็นคนดีเก็บเงียบไม่ยอมปริปากบอกอะไรแก่ศัตรู จนในที่สุดก็เสียชีวิตและถูกฝังศพไว้ใต้ต้นคาต้นคาเมเลียนั้น  ต้นคาเมเลียจึงสูบเลือดเจ้าหญิงแทนน้ำ ส่วนวิญญาณแค้นทำให้ดอกคาเมเลียกลายเป็นสีเลือด เด็กๆ จึงเชื่อกันว่าต้นคาเมเลียในโรงเรียน เป็นต้นไม้ที่สูบเลือดของเจ้าหญิง และเป็นที่น่าประหลาดใจเพราะตำนานนี้ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แต่กลับสามารถระบุวันที่เจ้าต้นคาเมเลียจะออกดอกสีแดงได้  นั่นคือ วันที่ 15 มิถุนายนของทุกปี



ขอจบไว้เพียงเท่านี้...หวังว่าเพื่อนๆจะนอนหลับฝันดีนะคะ!


















วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2561

ประเทศญี่ปุ่น : สถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาดเมื่อคุณไปญี่ปุ่น



สถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาดเมื่อคุณไปญี่ปุ่น

1. พระราชวังอิมพีเรียล

 พระราชวังอิมพีเรียล แต่เดิมมีชื่อว่า พระราชวังเอะโดะ อีก หนึ่งสถานท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ที่เมืองโตเกียว เพราะเป็นสถานที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เมจิ แห่งประเทศญี่ปุ่น เดิมที่นี่เป็นหมู่บ้านประมงเล็กที่ชื่อ เอะโดะ ที่ถูกตั้งเป็นฐานที่มั่น รวมทั้งถูกตั้งเป็นศูนย์กลางของรัฐบาลทหาร 
  ต่อมาได้ขยายเมืองให้ใหญ่ขึ้นจนมีประชากรและพื้นที่เมืองขนาดใหญ่มากขึ้นหลังจากนั้นเข้าสู่ยุคปฏิรูปเมจิการล้มล้างการปกครองแบบโชกุนลงจักรพรรดิเมจิจึงย้ายเมืองหลวงมาที่เอะโดะ และเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นโตเกียวในปัจจุบันที่นี่จึงเป็นศูนย์กลางทางการปกครองและวัฒนธรรมของประเทศและถูกเปลี่ยนให้เป็นพระราชวังในเวลาต่อมา มีชื่อเรียกว่า พระราชวังอิมพิเรียล 
ในปัจจุบัน


2. โตเกียว ทาวเวอร์


     โตเกียว ทาวเวอร์ หอคอย สื่อสารขนาดใหญ่ที่สวยงามมาก ตั้งอยู่ในเขตมินะโตะ กรุงโตเกียว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเพราะใน 1 ปี มีผู้ร่วมเข้าชมถึง 2 ล้าน 5 คน อีกทั้งยังเป็นเหมือนสัญลักษณ์เพื่อแสดงถึงอำนาจและอิทธิพลทางเศรษฐกิจของ โลก เป็นที่ถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ วิทยุ ซึ่งที่นี่ได้แรงบันดาลใจมาจากหอคอยสูงในปารีส สร้างในสไตล์สถาปัตยกรรมโบราณแบบญี่ปุ่น ทั้งนี้ โตเกียว ทาวเวอร์ จะเปิดทำการตั้งแต่ 09.00-20.00 น. โดยไม่มีวันหยุด ใครที่มาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วไม่มาเยือนที่นี่ถือว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่นเลย



3. ภูเขาฟูจิ



     ภูเขาฟูจิ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และอาจกล่าวได้ว่าเป็นภูเขาที่สวยที่สุดในโลก มีความสูงถึง 3,776 เมตร ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดยะมะนะชิและชิซุโอะกะ และสามารถมองเห็นได้จากโตเกียวและโยโกฮาม่าในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง วิธีที่จะได้เห็นภูเขาฟูจิที่ง่ายที่สุด คือ นั่งชมจากรถไฟสายโทไกโดที่วิ่งระหว่างเมืองโตเกียวและโอซาก้า ถ้าคุณนั่งชินกันเซ็นจากโตเกียวที่มุ่งหน้าไปยังนาโงย่า เกียวโต และโอซาก้า ช่วงที่จะได้เห็นภูเขาฟูจิ คือ ช่วงสถานีชิน-ฟูจิ หรือประมาณ 40-45 นาที หลังจากออกจากโตเกียว ซึ่งจะมองเห็นได้ทางด้านขวามือของรถไฟ แต่สำหรับผู้ที่อยากชมภูเขาฟูจิอย่างเต็มอิ่ม และแวดล้อมด้วยธรรมชาติที่งดงามขอเชิญที่ ทะเลสาบทั้งห้า (Fuji Five Lake or Fujigoko) หรือที่ ฮะโกะเนะ ซึ่งเป็นรีสอร์ทบ่อน้ำพุร้อนและเป็นหนึ่งใน อุทยานแห่งชาติ Fuji-Hakone-Izu


4. ช้อปปิ้งย่านสุดฮิตที่ย่านชินจูกุ ฮาราจูกุ โอไดบะ



     เมื่อมาเที่ยวที่ญี่ปุ่น อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ก็คือ การช้อปปิ้ง ซึ่งที่ญี่ปุ่นก็มีแหล่งช้อปที่หลายหลาย แต่ที่ไม่ควรพลาดเลย คือ ย่านชินจุกุ (Shinjuku) แหล่ง ท่องเที่ยวทันสมัยฝั่งตะวันตกของโตเกียว นับเป็นแหล่งช้อปปิ้งและสถานบันเทิงยามค่ำคืนยอดนิยมที่มีชื่อเสียง โดยยามกลางวันสามารถแวะชมสวนสาธารณะชินจุกุเกียวเอ็นที่เงียบสงบ, ย่านชิบุยะ (Shibuya) เป็นศูนย์กลางแฟชั่นและวัฒนธรรมสมัยใหม่ของวัยรุ่น ใกล้กับ ศาลเจ้าเมจิ ที่เงียบสงบ ติดต่อกันเป็นแหล่งช้อปปิ้งยอดนิยมและสวรรค์ของคนรุ่นใหม่ คือ ย่านฮาราจูกุ และ ย่านโอไดบะ ที่ สร้างขึ้นจากการถมทะเลในอ่าวโตเกียว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเหล่านักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ เพราะที่นี่มีทั้งแหล่งบันเทิงขนาดใหญ่ ชิงช้าสวรรค์ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่เป็นสัญลักษณ์ของเรนโบว์ ทาวน์ ที่เหล่าคู่รักวัยรุ่นนิยมขึ้นชิงช้าชมวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่สวยงาม


5. ปราสาทฮิเมะจิ




     ปราสาทฮิเมะจิ (Himeji Castle) ตั้งอยู่เมืองฮิเมะจิ เป็นปราสาทที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ที่ยังคงรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก พร้อมทั้งได้มีการปิดเพื่อทำการปฏิสังขรณ์เป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2009-2014 แต่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมภายในและชมกระบวนการซ่อมแซมได้อย่างใกล้ชิด


               ปราสาทฮิเมะจิ เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญเพราะเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ ที่เหลือสุดรอดมาจากยุคสงคราม และได้รับการรับรองจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก เพราะยังคงความเป็นเอกลักษณ์ สถาปัตยกรรม และยุทโธปกรณ์ครบตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น ทั้งฐานหินสูง กำแพงสีขาว และอาคารต่าง ๆ ในบริเวณปราสาท ถือได้ว่าเป็นมาตรฐานตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น



6.. ชมทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ณ ฟุระโนะ




 เมืองฟุระโนะ ตั้งอยู่ใจกลางฮอกไกโดพอดี เป็นที่รู้จักกันในนามทุ่งดอกไม้ที่มีภูเขาล้อมรอบไว้ ทำให้ที่นี่มีความแตกต่างของอากาศในช่วงฤดูหนาวกับฤดูร้อนราว 30 องศาและที่สำคัญที่นี่มีชื่อเสียงในด้านการท่องเที่ยทั้งในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาวในหน้าร้อนจะมีสวนดอกไม้ที่สวยงามโดยเฉพาะที่ฟาร์มโทมิตะ


ซึ่งมีการปลูกลาเวนเดอร์ที่ทั้งสวยงามและกว้างใหญ่ไพศาล รวมทั้งดอกไม้อื่น ๆ โดยที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวมากในช่วงปลายเดือนมิถุนายนจนกระทั่งกลางเดือน กันยายน ส่วนในช่วงฤดูหนาวที่นี่จะปกคลุมไปด้วยหิมะหนามาก ทำให้กลายเป็นลานสกีที่มีชื่อเสียง และเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินกับลานสกีในช่วงกลางเดือนธันวาคม ถึงกลางเดือนมีนาคมของทุกปี



ประเทศญี่ปุ่น : เทศกาลวันทานาบาตะ

เทศกาลทานาบาตะ


       จุดเริ่มต้นของ "เทศกาลทานาบาตะ" สืบเนื่องจากตำนานที่ดาวเวก้า คือ ดาวเจ้าหญิงทอผ้า โอริฮิเมะ ลูกสาวของเทพเจ้าเทนไต (ราชาแห่งท้องฟ้า) ผู้มีฝีมือในการทอผ้าเป็นเลิศ ซึ่งฝีมือการทออันประณีตงดงามของเธอ ทำให้เทนไตพอใจเป็นอย่างมาก และคอยให้เธอเป็นคนตัดชุดให้อยู่เสมอ โอริฮิเมะจึงมีหน้าที่ต้องทอผ้าอยู่ข้างแม่น้ำ (ทางช้างเผือก) เป็นประจำ แม้จะเป็นคนสวยมาก แต่โอริฮิเมะไม่มีเวลาไปพบปะใคร เธอจึงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว

ความรักระหว่างดวงดาวบนทางช้างเผือก ......

  จนกระทั่งเทนไตเกิดเห็นใจ แนะนำคนเลี้ยงวัว ฮิโกโบชิ หรือดาวอัลแตร์ ให้เธอได้รู้จักและทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกันอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนว่าความรักจะทำให้ทั้งโอริฮิเมะและฮิโกโบชิหลงระเริงจนลืม หน้าที่ของตัวเอง โอริฮิเมะไม่ยอมทอผ้า ฮิโกโบชิก็ปล่อยวัวเพ่นพ่านไม่ดูแล เป็นเหตุให้เทนไตโกรธมาก ทั้งคู่จึงถูกจับแยกกัน ทำให้โอริฮิเมะและฮิโกโบชิเศร้าหมองไปตาม ๆ กัน เทนไตอดเห็นใจไม่ได้เลยยอมให้พบหน้ากันเพียงปีละครั้งเท่านั้น แต่ก็ยังมีแม่น้ำหรือทางช้างเผือกขวางกั้น ทำได้แค่เพียงมองหน้าพูดคุยได้เพียงอย่างเดียว ฝูงนกเห็นความเศร้าของทั้งคู่ จึงใช้ตัวเองเป็นสะพานข้ามแม่น้ำให้ทั้งคู่ได้มาอยู่เคียงข้างกัน อย่างไรก็ตาม หากวันที่ 7 เดือน 7 ปีใดฝนตก นกจะไม่บินมา ทำให้พวกเขาต้องรอพบกันใหม่ปีหน้า


วันทานาบาตะในปัจจุบัน....
               และนั่นก็คือที่มาของ
เทศกาลทานาบาตะที่จัดขึ้นทุกวันที่ 7 กรกฎาคม ซึ่งชาวญี่ปุ่นจะขอพรจากดวงดาว เพราะเชื่อว่าปาฏิหาริย์ที่ทำให้ทั้งคู่ได้เจอกันจะทำให้พรของตัวเองสมหวังด้วยเช่นกัน โดยในวันนี้ผู้คนจะเขียนคำอธิษฐานลงบนกระดาษทันซาคุ แล้วนำไปติดไว้กับกิ่งก้านของต้นไผ่ที่ถูกตัดออกมา พอวันรุ่งขึ้นก็จะนำไปลอยน้ำ





โดยกระดาษทั้งหมดจะมี 5 สี สื่อความหมายแตกต่างกันไป ได้แก่ สีเขียวที่หมายถึงความก้าวหน้าในการเรียนและหน้าที่การงาน, สีเหลืองคือโชคลาภเงินทอง, สีแดงคือความสำเร็จ, สีชมพูคือความรัก และสีฟ้าได้แก่ความสุข ซึ่งในช่วงเทศกาลบ้านและร้านรวงต่าง ๆ จะประดับประดาด้วยกระดาษสีเหล่านี้ทำให้ทั่วญี่ปุ่นเต็มไปด้วยสีสันสดใส


 ...นอกจากนี้ชาวบ้านยังนิยมใส่ชุดประจำชาติเช่น ยูคาตะ เดินกัน ทำให้บรรยากาศดูสดใสครึกครื้นขึ้นอีก แถมปัจจุบันยังมีการเพิ่มขบวนพาเหรดสวย ๆ มีการจุดพลุ และอาหารแผงลอยรวมทั้งของที่ระลึกหลากหลายขายกันมากมายให้เราได้เดินดูงานไป ด้วย ชิมอาหารอร่อย ๆ ไปพลางอีกต่างหาก เรียกได้ว่ามีความสนุกครบวงจรเลยล่ะ







































วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2561

ประเทศญี่ปุ่น : คอสเพลย์


คอสเพลย์...มาจากไหน

      แต่เดิมนั้น การแต่งคอสเพลย์ยังไม่มีคำระบุเรียกลักษณะการแต่งกายเลียนแบบตัวละครจากในเกม, การ์ตูน อย่างชัดเจน คำๆนี้ถูกใช้และเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น เพื่อใช้การเขียนคอลัมน์ในนิตยสาร My Anime เมื่อปี พ.ศ. 2525 โดย โนบุยุกิ ทากาฮาชิ ซึ่งมาจากการนำคำ 2 คำมาผสมกัน คือคำว่า Costume และ Play 





     ซึ่งนิยามของคอสเพลย์ในปัจจุบันไม่ได้หยุดอยู่แค่การแต่งกายเลียนแบบตัวละครที่มาจากประเทศญี่ปุ่น เท่านั้น แต่กินความหมายรวมไปถึงการ์ตูน เกม และเพลงจากชาติอื่นๆ รวมถึงวงการเพลงที่มีการเลียนแบบการแต่งกายของวง J-Rock และ J-Pop ที่มีรูปแบบแตกต่างจากการแต่งกายแบบปกติอย่างชัดเจน ซึ่งอาจจะมีการรวมกลุ่มกันเพื่อร้องเพลงหรือการเต้น Cover ตามศิลปินที่ชื่นชอบนั้นอีกด้วย และการแต่งกายแบบย้อนยุค อย่างเช่นสมัย Gothic เป็นต้น สำหรับในประเทศไทยนั้น จุดเริ่มต้นของกิจกรรมการแต่ง Cosplay ส่วนหนึ่งจะมาจากผู้ที่ชื่นชอบ J-Rock ในสมัยที่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงปี 30 กลายๆ อีกส่วนหนึ่งคือผู้ที่ชื่นชอบการ์ตูนญี่ปุ่นและติดตามข้อมูลโดยตรงจากทาง ญี่ปุ่น ก็ได้มีการรวมกลุ่มเล็กๆเพื่อจัดงานขึ้นมาเมื่อประมาณ พ.ศ. 2541 หลังจากนั้นสำนักพิมพ์การ์ตูนญี่ปุ่นต่างๆ เองก็ได้เริ่มให้ความสนใจจัดกิจกรรมเพื่อตอบสนองความชื่นชอบในลักษณะของการประกวด Cosplay ขึ้นมาบ้าง ซึ่งจุดที่ทำให้ Cosplay เป็นที่รู้จักกันมากขึ้นในสังคมไทย เห็นจะเป็นกระแสของเกมออนไลน์ต่างๆ ที่เริ่มเข้ามาเมื่อช่วงปี พ.ศ. 2545 โดย Cosplay ก็ เป็นกิจกรรมหลักๆ ที่ผู้นำเข้าเกมส์ทุกบริษัทจะจัดขึ้นมาเพื่อสร้างความคึกคักให้กับตัวงาน โดยเฉพาะเกมส์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอย่าง Ragnarok Online ซึ่งสื่อต่างๆ ก็ได้นำเอาเรื่องของ Cosplay ไปเผยแพร่ จึงมีผลทำให้บุคคลทั่วๆไปได้รู้จักกันมากยิ่งขึ้น จากที่แต่เดิมนั้นจะเป็นรู้จักเฉพาะในวงแคบๆ เท่านั้น นับเป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่ง





วิธีแต่งคอสเพลย์

1.กำหนดตัวละครที่จะแต่งค่ะ
2.ลอกรายละเอียด หรือแกะแบบตัวละครนั้นว่ามีลักษณะยังไง เช่น ลูฟี่ ใส่หมวกฟาง เราก็ไปหาหมวกฟางแบบเดียวกันเป๊ะได้ยิ่งดี หรือแบบคล้ายๆกันก็ได้นะ
3.ตามล่าหาผ้าและอุปกรณ์ที่จะทำพวกเสื้อผ้าอะไรแบบนี้




4.หาร้านจะตัด แน่นอนว่าต้องดูเรื่องราคาด้วยนะคะ ถ้าเจ้าของร้านคิดแพงมากก็โกยเถอะโยม^^;; ที่สำคัญนะคะ เราต้องตีสนิทกับเจ้าของร้านเพื่อให้ราคาลดลง เอ๊ย! จะได้สั่งตัดแบบเป็นกันเอง


5.หาซื้อวิกผมหรือผมปลอมแบบเดียวกันกับตัวละครที่เราจะแต่ง บางคนหาไม่ได้ก็จะซื้อวิกที่คล้ายๆหรือใกล้เคียงกัน จากนั้นก็มาสับซอยให้เหมือนกับของตัวละครนั้น(เรียกได้ว่าเป็นการฝึกตัดแต่งทรงผมไปในตัวเลยล่ะค่ะ) อย่าเอาวิกผมาไดร์เด็ดขาดเลยค่ะ เดี๋ยวเสียทรง =3=' นอกจากนี้ก็จะมีพวก เน๊ต หวีหรือแปรง(ใช้ในการหวีหรือแปรงวิกผมให้เข้าที่เข้าทาง ถือเป็นการตกแต่งทรงน่ะค่ะ) แล้วก็มีน้ำยาบำรุง(ใช้บำรุงวิกให้ดูดีเสมอ แล้วก็ไม่เสียหายประมาณนี้น่ะค่ะ)






















6.ซื้อสีค่ะ ไม่ว่าจะเป็นสีย้อมร้อน สีสเปรย์ 
7.คอนแท็กเลนส์ (ไม่แนะนำบิ๊กอายนะคะเพราะเป็นอันตรายต่อตามากๆ>_<;;) เลือกสีที่ใกล้เคียงหรือเหมือนกับตัวละครที่เราเลือกนั่นแหละค่ะ
8.จำพวกออฟชั่น หรืออุปกรณ์ตกแต่งเสริมน่ะค่ะ อย่างเช่น ปืน , ดาบ , คทาวิเศษณ์ , หูแมว , หาง , ปีก ฯลฯ อะไรทำนองนี้ เราสามารถหาซื้อได้ที่ร้านบางร้าน แต่ก็มีไม่มากนะคะ บางชนิดเราต้องกลับมาทำเองที่บ้าน ลงทุนเห็นๆ ส่วนวิธีทำออฟชั่นพวกนี้ให้เพื่อนๆไปค้นหาดูเองนะคะ เพราะมันมีเยอะมากซะจนมี่เอามาไม่ไหว
9.เซ็ตวิกผมให้เข้าที่เข้าทางซะ ถ้าตัดแต่งวิกเองไม่เป็นเอาไปให้ร้านตัดให้เลยค่ะ(นอกจากเขาจะรับไม่ได้ หรือเซ็ตให้ไม่ได้นั่นแหละค่ะ ถึงต้องกลับมานั่งทำเองย้อมใจ)

10.แต่งหน้ากันเล้ยยย!! 


11.รองเท้าจ้า ต้องดูด้วยนะคะว่าเป็นรองเท้าแบบไหน ถ้าเป็นแบบส้นสูงมีลายนิดหน่อย เราก็ไปหาแบบที่คล้ายๆกัน สีเดียวกัน จากนั้นก็ทำการลอกลายรองเท้าของตัวละครมาแปะในรองเท้าของเรา โฮ่ๆๆๆ เนียนซะไม่มี ><'
12.รอวันที่เขาจะเปิดงานคอสเพลย์ค่า!! มีงานเมื่อไหร่ ไปโลดด (พาเพื่อนไปด้วยก็ดีนะคะ ไปคอสฯกันเป็นกลุ่ม)
13.อย่าลืมแอ็คท่านะ เอาแบบที่ตัวละครที่เราคอสฯเป็น หรือจะพูดคำที่ตัวละครนั้นชอบพูด เอาเป็นว่า อิริยาบถและการแสดงออกให้เหมือนกับตัวละครที่เราเลือก

ตัวอย่างคอสเพลย์